อ่าน: 8545
ความเห็น: 0
ความเห็น: 0
ช็อกโกแลตซีส (Chocolate Cyst) โรคที่สาว ๆ ควรใส่ใจ
โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเติบโตผิดที่
-
ได้ยินชื่อมานานแล้ว "ช็อกโกแลตซีสต์" แต่ไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร จนมาหาความรู้เมื่อมีญาติที่สุราษฎร์ธานี โทรมาปรึกษาว่าจะมาผ่าโดยส่องกล้องที่โรงพยาบาล ม.อ. มีหรือเปล่า จึงสอบถามไปยังโรงพยาบาล ม.อ.ปรากฎว่า มี คลีนิกสูตินารีเวช ค่ะ
-
จากการตรวจของหมอที่สุราษฎร์ธานี พบช็อกโกแลตซีสต์ 2 ก้อน คือขนาด 7 ซ.ม. และ 3.5 ซ.ม. เนื่องจากขนาด 7 ซ.ม. เป็นขนาดที่ใหญ่ ญาติจึงได้ตัดสินใจผ่าตัดทางหน้าท้อง
-
ช็อกโกแลตซีสต์ ที่ผ่าออกมาตามรูป


ความรู้เกี่ยวกับ "ช็อกโกแลตซีสต์" จาก Kapook.com
"ช็อกโกแลตซีสต์" ฟังเผิน ๆ ก็เป็นชื่อโรคที่ดูไม่น่าจะมีพิษสงอะไร แต่ถ้าใครเป็นแล้วล่ะก็ คงรู้จักความร้ายกาจของมันเป็นอย่างดี เพราะแม้จะไม่ใช่โรคที่ทำอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่ก็สร้างความทรมานให้สาว ๆ ที่เป็นโรคนี้ไม่น้อย ชักอยากรู้แล้วสิว่า "ช็อกโกแลตซีสต์" เกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วเราอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือเปล่า มาอ่านกันเลย
ช็อกโกแลตซีสต์ เกิดได้อย่างไร
ช็อกโกแลตซีสต์ (Chocolate Cyst) หรือ ถุงน้ำช็อกโกแลต ในทางการแพทย์เรียกว่า "เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิดที่" (Endometriosis) เกิดจากเลือดประจำเดือนที่ปกติต้องไหลออกมาทางช่องคลอด แต่กลับไหลย้อนกลับเข้าไปในช่องท้องผ่านท่อรังไข่ และนำเซลล์ของเยื่อบุโพรงมดลูกเข้าไปด้วย เมื่อเซลล์นี้ไปฝังตัวอยู่ที่อวัยวะไหนก็จะเกิดถุงน้ำขึ้นที่อวัยวะนั้น เช่น อุ้งเชิงกราน ท่อรังไข่ ลำไส้ ช่องคลอด มดลูก ฯลฯ
บริเวณที่พบช็อกโกแล็ตซีสต์ได้บ่อยคือรังไข่ เนื่องจากบริเวณรังไข่เป็นบริเวณที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง จึงเหมาะแก่การเจริญเติบโต แต่ถ้าเยื่อบุโพรงมดลูกแทรกเข้าไปในกล้ามเนื้อมดลูกจะไม่กลายเป็นซีสต์ ทว่าจะกลายเป็นพังผืดหรือก้อนในกล้ามเนื้อมดลูกแทน เพราะกล้ามเนื้อมดลูกค่อนข้างแข็ง และเราเรียกภาวะนี้ว่า"Adenomyosis" ซึ่งผลที่ตามมาคือภาวะปวดท้องประจำเดือนอย่างรุนแรง ประจำเดือนมามาก และมีบุตรยาก
ทั้งนี้ เมื่อเวลาที่ผู้หญิงมีประจำเดือน เยื่อบุโพรงมดลูกจะลอกตัวออกมา ถุงน้ำที่ฝังตัวอยู่ก็จะมีเลือดออกด้วย แต่เมื่อเลือดประจำเดือนออกหมดแล้วในเดือนนั้น ร่างกายก็จะดูดน้ำจากถุงกลับมา ทำให้เลือดในถุงเข้มข้นขึ้น หากเลือดค้างอยู่ในถุงน้ำนาน ๆ จะกลายเป็นสีน้ำตาล มีลักษณะเหมือนช็อกโกแลต จึงเรียกว่า "ถุงน้ำช็อกโกแลต"หรือ "ช็อกโกแลตซีสต์" นั่นเอง
นั่นหมายความว่า แต่ละเดือนที่ผ่านไป ถุงน้ำก็จะยิ่งมีเลือดออกเพิ่มขึ้น และขยายใหญ่ขึ้น แต่จะใหญ่เร็วมากน้อยแค่ไหนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของคนคนนั้นว่า จะดูดน้ำกลับได้เร็วเท่าไหร่ ถ้าร่างกายดูดน้ำกลับได้เร็ว ถุงน้ำนั้นก็จะโตขึ้นแบบช้า ๆ
ใครเสี่ยงโรคช็อกโกแลตซีสต์บ้าง
ผู้ที่สามารถเป็นช็อกโกแลตซีสต์ได้ คือ ผู้หญิงที่อยู่ในวัยมีประจำเดือน ส่วนผู้หญิงที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือนไปแล้ว พบได้ไม่เกิน 5% แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีคนอีกหลายกลุ่มที่มีความเสี่ยงเป็นโรคช็อกโกแลตซีสต์มากกว่าคนกลุ่มอื่น คือ
ผู้ที่มีประจำเดือนมาตั้งแต่อายุน้อย
ผู้ที่มีประจำเดือนรอบสั้น คือ มีมากกว่าเดือนละ 2 ครั้ง
ผู้ที่ประจำเดือนออกมามาก หรือนานกว่า 7 วัน
ผู้ที่มีสมาชิกในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคนี้ โดยเฉพาะทางมารดา พี่สาว น้องสาว หากเคยเป็นโรคนี้ จะมีเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป 3-10 เท่า
ผู้ที่มีความผิดปกติของทางออกประจำเดือน เช่น ผู้ป่วยที่มีปัญหาเยื่อพรหมจารีเปิด
จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นช็อกโกแลตซีสต์หรือไม่
หลายคนไม่สามารถแยกแยะออกว่า การปวดท้องนั้นเป็นการปวดท้องประจำเดือนปกติ หรือปวดเพราะเป็นช็อกโกแลตซีสต์ แต่เราสามารถแยกได้โดยโรคนี้มักพบมากในผู้หญิงที่มีอายุ 30-40 ปีขึ้นไป หรือวัยก่อนหมดประจำเดือน หากปกติไม่เคยปวดท้องประจำเดือนมาก่อน แต่พออายุ 30 ปีขึ้นไปแล้วกลับมีอาการปวดท้องมากขึ้นเรื่อย ๆ และปวดมากขึ้นทุกเดือน ถึงขนาดต้องหยุดเรียน หยุดงาน ให้สงสัยว่า คุณอาจเป็นช็อกโกแลตซีสต์ ควรจะไปพบแพทย์เพื่อตรวจดูให้แน่ใจ
อย่างไรก็ตาม บางคนอาจไม่มีอาการปวดเลย ยกเว้นเมื่อขนาดของซีสต์โตมาก ๆ แล้วไปกดอวัยวะข้างเคียง หรือแตกออกมา ซึ่งซีสต์มีโอกาสกลายเป็นมะเร็งได้ราว ๆ 0.3-0.7%
หากใครพบว่าตัวเองเป็นช็อกโกแลตซีสต์ก็อย่าเพิ่งตกอกตกใจไป เพราะโรคนี้ไม่ได้ร้ายแรงจนเกินเยียวยา มีหลายวิธีในการรักษาโรคนี้ ได้แก่
1.การใช้ยา หากถุงน้ำที่พบเป็นถุงน้ำขนาดเล็ก แพทย์จะให้ยารักษา โดยอาจจะให้ทานยา หรือฉีดยาเพื่อลดขนาดซีสต์ ซึ่งยาที่ใช้ก็มีทั้งกลุ่มที่มีฮอร์โมน และไม่มีฮอร์โมน อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงของการใช้ยาก็คือ อาจทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
2.การผ่าตัด ในกรณีที่ใช้ยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือถุงน้ำใหญ่มากจนเกิดอาการปวดรุนแรง หรือไปกดอวัยวะข้างเคียง ส่งผลไปถึงส่วนอื่น ๆ แพทย์จะพิจารณาใช้วิธีผ่าตัดเพื่อรักษาต่อไป โดยการผ่าตัดอาจตัดเฉพาะตำแหน่งของโรค หรือสลายพังผืดออก ด้วยวิธีการผ่าตัดส่องกล้องผ่านทางหน้าท้อง
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เคยเป็นช็อกโกแลตซีสต์ และผ่าตัดออกไปแล้ว ยังมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้ กรณีที่ผ่าตัดเอาแต่พยาธิสภาพออก แต่ยังเก็บตัวมดลูกและรังไข่ไว้
เราจะป้องกันโรคช็อกโกแลตซีสต์ได้หรือไม่
จริง ๆ แล้ว ในทางการแพทย์ยังไม่แน่ใจว่า สาเหตุใดถึงทำให้เลือดประจำเดือนไหลย้อนกลับ จึงยังไม่มีวิธีป้องกันโรคนี้ได้อย่างแน่นอน แต่ก็ยังมีปัจจัยหลายอย่างที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ อย่างเช่น
การตั้งครรภ์
การออกกำลังกายเป็นประจำ เพราะจะไปช่วยลดฮอร์โมนเอสโตรเจน
หลีกเลี่ยงการตรวจภายใน หรือมีเพศสัมพันธ์ขณะมีประจำเดือน เพื่อป้องกันเลือดประจำเดือนไหลย้อนกลับ
นอกจากนี้ ผู้หญิงที่อยู่ในกลุ่มที่มีอัตราเสี่ยงสูง เช่น ครอบครัวมีประวัติเป็นโรคนี้ แพทย์อาจพิจารณาให้กินยาคุมกำเนิดตั้งแต่วัยเริ่มมีประจำเดือน และหยุดยาเมื่อมีบุตร เพื่อป้องกันโรคดังกล่าว และอาจแนะนำให้แต่งงาน เพื่อให้ตั้งครรภ์เร็ว ๆ
ฟังดูแล้ว "ช็อกโกแลตซีสต์" ก็ไม่ใช่โรคที่น่ากลัวมาก หากคุณสาว ๆ หมั่นสังเกตความผิดปกติของร่างกายตัวเอง แล้วรีบไปพบสูตินรีแพทย์ เพื่อตรวจอาการตั้งแต่เนิ่น ๆ ก่อนที่โรคจะลุกลามกว่าเดิม ก็น่าจะเป็นวิธีการป้องกันที่ดีที่สุดค่ะ
ที่มา http://health.kapook.com/view43206.html
สร้าง: 04 มิถุนายน 2557 17:19
แก้ไข: 04 มิถุนายน 2557 17:21
[ แจ้งไม่เหมาะสม ]
บันทึกอื่นๆ
- เก่ากว่า « การขอโทษและการให้อภัย
- ใหม่กว่า » แว่นกันแดด....สีเลนส์กับการปกป้อ...
ร่วมแสดงความเห็นในหน้านี้